เด็กเล็ก กำลังเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิด-19 เหตุยังไม่มีวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว หากจะรับวัคซีนต้องได้รับการรับรองเท่านั้น ทางป้องกัน บรรดาพ่อแม่ต้องมีมาตรการเข้มป้องกันตนเอง ลดเสี่ยงแพร่เชื้อไปสู่ลูก
การแพร่ระบาดรุนแรงของโควิด-19 มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก แต่มักจะมุ่งไปที่กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว แต่คนอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน คือ กลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มเด็กปฐมวัย อายุต่ำกว่า 6 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 – 25 ก.ค. 2564 พบมีเด็กต่ำกว่า 6 ปีติดเชื้อ 13,444 ราย มีอาการรุนแรง 791 ราย และเสียชีวิต 2 ราย เป็นเด็กวัย 1 เดือน และ 2 เดือน โดยพบว่าเด็กทั้ง 2 รายที่เสียชีวิต เนื่องจากมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรง

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย บอกว่า เด็กเล็ก เริ่มมีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากการสัมผัสบุคคลที่เป็นโรคในครอบครัว
ขณะนี้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มีข้อมูลรองรับถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปมีเพียงชนิดเดียว ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ซึ่งได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. 2564 และได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาประเทศไทยให้ใช้ในอายุ 12 ปีขึ้นไป เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2564 ซึ่งการนำเข้ายังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
สำหรับวัคซีนซิโนแวค แม้จะมีการใช้ในประเทศจีนในเด็กอายุ 3 -17 ปี จากการศึกษาวิจัยในระยะที่ 1 และ 2 พบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีข้อมูลเรื่องของประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและกำลังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยวัคซีนอีกหลายชนิดในผู้ป่วยเด็กกลุ่มอายุต่าง ๆ ลงไปจนถึงอายุ 6 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยออกมาเพิ่มเติมในอนาคต
ข้อมูลจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้มีคำแนะนำดังนี้
1) ยังไม่แนะนําวัคซีนโควิด-19 สําหรับเด็กทั่วไปที่แข็งแรงดี ในขณะนี้จนกว่าจะมีวัคซีนที่มากขึ้น และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กเพิ่มเติม
2) แนะนําให้ฉีดวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองให้ใช้ในเด็ก ในกรณีผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจําตัวที่มีความเสี่ยงของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง เช่น โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และโรคเบาหวาน เป็นต้น
3) แนะนำให้ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดรับวัคซีน
4) แนะนำให้สร้างวินัยในการป้องกันตัวเอง เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ให้แก่เด็กในทุกวัยและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศไม่ถ่ายเท
5) แนะนำให้ผู้ปกครองทำงานที่บ้าน งดการเยี่ยมเยียนจากบุคคลภายนอก
การป้องกันที่ดีที่สุดในช่วงนี้คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเด็กเป็นพิเศษโดยยึดหลัก เว้นห่างไว้ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือถือหลักรักสะอาด และปราศจากแออัดทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่เด็กอาจจะทำได้ ไม่เคร่งครัด
ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองจึงต้องเป็นผู้ปฏิบัติอย่างเข้มข้นแทนเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไปสู่ลูก ดังนี้
1) เว้นระยะห่างทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและจำกัดการเดินทางเท่าที่จำเป็น และไม่ไปในที่ที่มีคนหนาแน่น เมื่อกลับถึงบ้านควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
2) สวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นเฉพาะเวลากินอาหาร และไม่กินอาหารร่วมกัน หากจำเป็นต้องดูแลเด็กกินอาหารผู้ปกครองควรแยกหรือเหลื่อมเวลากินอาหาร
3) หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ
4) ผู้ปกครองควรทำงานที่บ้าน และงดการเยี่ยมจากบุคคลนอกบ้านในทุกกรณีและประเมินความเสี่ยงตนเองผ่าน “ไทยเซฟไทย” ทุกวัน
หากสังเกตอาการมีไข้สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียสไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวก อาจมีปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสีย และถ้ามีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันว่าติดเชื้อต้องปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและแยกกักตัว ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้น เช่นไข้สูงมากขึ้น เหนื่อย หอบหายใจเร็วต้องรีบพบแพทย์ทันที
ดังนั้น จากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากสายพันธุ์เดลตา ที่สามารถระบาดได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้บรรดากลุ่มเด็ก มีความเสี่ยงมากขึ้นในการติดเชื้อ ดังจะเห็นได้จากโรงเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยมีอัตราการติดเชื้อสูง ซึ่งมีวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ต้องเริ่มจากภายในครอบครัว ที่เป็นลักษณะการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับการติดเชื้อโควิด19 ในรูปแบบอื่น
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง:
คู่มือสำหรับ’คนในครอบครัว-ผู้ดูแล’ ผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้านยุคเตียงเต็ม
เรากำลังมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? จาก ‘อยู่บ้าน หยุดเชื้อ’ มาสู่ ‘ติดเชื้อ อยู่บ้าน’
หมอโอ๋ – เพจดัง’เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ เผยความรู้สึกเมื่อติดโควิดทั้งบ้าน