“หนี้ครัวเรือน” เป็นที่กล่าวถึงกันมาก พร้อมกับวิธีการแก้ปัญหา แต่ถึงที่สุดก็ยังไม่สามารถแก้ได้ แต่กลับทวีความรุนแรงขึ้นในยุคโควิด-19 บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เราจะมีหนี้ แต่สำหรับนักเศรษศาสตร์ ืหรือผู้กำหนดนโยบายแล้ว นับว่าเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่ต้องรีบแก้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ดร.ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เขียนบทความเรื่อง “ปัญหาหนี้ครัวเรือน: ระเบิดเวลาที่ต้องเร่งปลดชนวน” ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญของ “หนี้ครัวเรือน” และแนวทางแก้ไข ดังนี้
ประเด็นเศรษฐกิจร้อนช่วงนี้ถ้าไม่นับเรื่องการกลับมาระบาดรุนแรงของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยกลับไปถดถอยซ้ำสองแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องหนี้ครัวเรือน
ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ล่าสุด ซึ่งเป็นตัวเลข ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2564 เท่ากับ 14.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีที่ร้อยละ 90.5 สื่อหลายสำนักลงข่าวว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 18 ปี แต่จริงๆแล้ว ควรจะบอกว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลเป็นทางการเมื่อ 18 ปีที่แล้วมากกว่า
ก่อนการระบาดของโควิด-19 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ร้อยละ 79.8 ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ตัวเลขที่พุ่งขึ้นมาเป็นร้อยละ 90.5 ประมาณ 2 ใน 3 มาจากการหดตัวของจีดีพีขณะที่อีกประมาณ 1 ใน 3 มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลหนี้เอง
มองไปข้างหน้า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 2 มีแนวโน้มทรงตัวหรืออาจปรับลดลงเล็กน้อยจากตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 2 ที่คาดว่าจะขยายตัวเป็นบวกสูงพอสมควร จากผลของฐานต่ำในปีที่แล้วที่เศรษฐกิจหดตัวกว่าร้อยละ 12 อย่างไรก็ดี มองไกลถึงสิ้นปี ที่ตอนนี้หลายสำนักคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้ทั้งปีจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1 บวกลบ หากมูลหนี้ครัวเรือนในช่วงที่เหลือของปียังขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับที่ผ่านมา (ปีที่แล้วทั้งปี หนี้ครัวเรือนขยายตัวร้อยละ 4.1 ขณะที่ในไตรมาส 1 ปีนี้ขยายตัวร้อยละ 4.6) คาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีณสิ้นปีมีโอกาสแตะร้อยละ 93 ได้
ทั้งนี้ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ผมยกมาข้างต้น ยังไม่ได้รวมหนี้กองทุนหมู่บ้าน หนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และสินเชื่อพิโคไฟแนนซ์ ซึ่งมียอดรวมกันประมาณ 5 แสนล้านบาท ไม่ได้รวมหนี้ที่สถาบันการเงินตัดหนี้สูญไปแล้ว แต่ยังเป็นหนี้ในมุมของผู้กู้ และไม่ได้รวมหนี้นอกระบบ ซึ่งไม่มีใครมีตัวเลขที่แท้จริง ซึ่งหมายความว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่แท้จริงเลวร้ายกว่าตัวเลขที่เราเห็นมาก
นอกจากนี้ เมื่อเจาะลึกลงไปที่โครงสร้างของหนี้ครัวเรือนไทย พบว่าหนี้เพื่อการบริโภคทั้งสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิตซึ่งเป็นหนี้ระยะสั้นและดอกเบี้ยแพงมีสัดส่วนสูงถึงหนึ่งในสามของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดต่างจากนานาประเทศที่หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งมีอายุสัญญายาวและดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ภาระการชำระหนี้ต่อรายได้ต่อเดือนของครัวเรือนไทยสูงมาก โดยจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดพบว่าณสิ้นปี 2563 ประมาณ 1 ใน 4 ของครัวเรือนไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้
ในมุมมองเศรษฐกิจมหภาค ระดับของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีและสัดส่วนของครัวเรือนที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่สูงแบบนี้ ไม่เพียงจะฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ (เพราะเมื่อมีรายได้เข้ามา ครัวเรือนต้องเอาไปชำระหนี้ก่อนเป็นลำดับแรก ที่เหลือจึงจะเอาไปจับจ่ายใช้สอย) แต่มีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะเห็นการผิดนัดชำระหนี้เป็นวงกว้างจนกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศที่เรายังไม่เห็นปัญหานี้เนื่องจากที่ผ่านมามีมาตรการพักชำระหนี้และมาตรการลดค่างวดขั้นต่ำของสถาบันการเงินประกอบกับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
มาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้าในด้านการคลังคือการเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะจากการล็อคดาวน์ เพื่อให้พวกเขาอยู่รอดได้ โดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม ขณะที่ในด้านการเงินคือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่มีภาระชำระหนี้สินเกินตัวให้สามารถไปต่อได้
จากฐานข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และของ ธปท. ที่ครอบคลุมลูกหนี้รายย่อยของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธุรกิจบัตรเครดิต และธุรกิจเช่าซื้อ รวมเกือบ 15 ล้านคน พบว่า ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจ ณ เดือนมิถุนายนของ ธปท. ถ้าจะช่วยให้ลูกหนี้ที่มีหนี้สินเกินตัวทั้งหมดสามารถไปต่อได้ มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้โดยวิธีที่สถาบันการเงินต้องมีส่วนสูญเสีย ได้แก่ การลดดอกเบี้ย และ/หรือ การลดเงินต้น ในหลักแสนล้าน (ยังไม่นับหนี้ที่อยู่นอกฐานข้อมูล โดยเฉพาะสหกรณ์) ภายในสิ้นปี 2565 ขณะที่ยอดการปรับโครงสร้างหนี้ในรูปแบบข้างต้นในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในหลักหมื่นล้าน ชี้ว่าเราต้องเร่งการปรับโครงสร้างหนี้แบบจริงจังให้มากขึ้นและเร็วขึ้น
ข่าวดีคือผลกำไรของสถาบันการเงินที่ประกาศออกมาล่าสุดชี้ว่าสถาบันการเงินมีความสามารถที่จะช่วยลูกหนี้ได้มากกว่าที่ผ่านมาอีกพอสมควรอย่างไรก็ดีสถาบันการเงินก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เช่นกันหากปล่อยให้ภาระการช่วยเหลือลูกหนี้ตกกับสถาบันการเงินทั้งหมด ยังไม่ต้องพูดถึงการปรับโครงสร้างหนี้ในหลักแสนล้าน เอาแค่การหยุดการเดินดอกเบี้ยระหว่างการพักหนี้ในวงกว้างตามที่มีการเสนอกัน อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน จนนำไปสู่วิกฤตสถาบันการเงินได้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาบทบาทของภาครัฐและ/หรือตลาดทุนในการช่วยเหลือลูกหนี้ประกอบไปด้วย
หากเราสามารถช่วยครัวเรือนที่มีหนี้สินเกินตัวให้สามารถไปต่อได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยก็จะลดลงโดยปริยาย อย่างไรก็ดี ในมุมมองมหภาคการปรับลดเฉพาะหนี้ในปัจจุบันของลูกหนี้ที่มีหนี้สินเกินตัวนั้นไม่เพียงพอที่จะกดสัดส่วนสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีลงมาในระดับที่ปลอดภัยในระยะยาวได้แต่จำเป็นต้องคุมกำเนิดหนี้ในอนาคตหลังจากเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ในขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินมีความรัดกุม สามารถปล่อยให้ขยายตัวสูงกว่าจีดีพีได้พอสมควร เพื่อปรับสมดุลโครงสร้างของหนี้ครัวเรือนไทยให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
สุดท้าย ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้นเป็นการจัดการเฉพาะหนี้ในระบบ ถ้าไม่มีการจัดการหนี้นอกระบบไปพร้อมๆกันเราไม่มีทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเบ็ดเสร็จได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบนั้นสูงมาก (เฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อเดือน เท่าที่ผมสำรวจมา) ถ้าภาระหนี้ที่ลดลงจากการลดหนี้ในระบบไม่เพียงพอที่จะปิดหนี้ในระบบ สุดท้ายหนี้นอกระบบก็จะพอกพูนจนท่วมหัวอยู่ดี
เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้มีโอกาสคุยกับซีอีโอของบริษัท Noburo ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มสวัสดิการด้านการเงิน เธอเล่าให้ฟังว่า ได้ร่วมกับลูกค้าซึ่งเป็นเชนร้านอาหารใหญ่แห่งหนึ่ง ปล่อยสินเชื่อสวัสดิการดอกเบี้ยต่ำให้กับพนักงานเพื่อไปปิดหนี้นอกระบบ ซึ่งช่วยให้พนักงานจำนวนมากที่มีการพึ่งพาหนี้นอกระบบพ้นจากภาระหนี้สินเกินตัวได้
ความท้าทาย คือ จะทำอย่างไรจึงจะนำวิธีของ Noburo ซึ่งเป็นเพียงแพลทฟอร์มเล็กๆ ไปใช้กับคนหมู่มากได้ สถาบันการเงินแรกที่ผมนึกถึง คือ ธนาคารออมสินที่ลูกค้าจำนวนไม่น้อยน่าจะมีเงินกู้นอกระบบ และมีประสบการณ์กับโครงการสินเชื่อเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบมาแล้วหลายโครงการ เพียงแต่ที่ผ่านมาวงเงินรวมไม่มากนัก และวงเงินต่อรายไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอที่จะปิดหนี้นอกระบบสำหรับลูกหนี้จำนวนหนึ่ง
แน่นอนว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่ในยามนี้มีความเสี่ยงสูง ในเบื้องต้น กลุ่มลูกหนี้ที่ออมสินอาจจะใช้นำร่องในการปิดหนี้นอกระบบได้ คือ กลุ่มครูและข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี โดยใช้เงินกองทุนบำเหน็จบำนาญเข้าราชการเป็นหลักประกัน และเงื่อนไขให้ออมสินสามารถหักเงินเดือนข้าราชการได้โดยตรง ซึ่งน่าจะทำให้โครงการนี้มีคาดการณ์ความเสียหายที่ต่ำ
โดยสรุป ภาระหนี้ครัวเรือนของไทยเปรียบเสมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่มาตรการพักชำระหนี้ไม่สามารถต่อไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีวันสิ้นสุดและดอกเบี้ยสักวันหนึ่งก็ต้องกลับสู่วัฏจักรขาขึ้นการเร่งถอดชนวนระเบิดโดยการปรับโครงสร้างหนี้และการจัดการหนี้นอกระบบเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตหนี้ครัวเรือนที่แอบแฝงอยู่ใต้เงาของวิกฤตโควิด-19
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง:
สัญญาณ ‘วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น’ กระทบหนักหนี้ครัวเรือน-ตลาดหุ้น