รถไฟหัวกระสุน “รถไฟจีน–ลาว” เปิดบริการอย่างเป็นทางการ 2 ธ.ค.นี้ หลังจากมีพิธีเปิดไปเมื่อวันเสาร์ที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยเป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ทั้งรถไฟโดยสารและรถไฟสินค้า
การก่อสร้างรถไฟจีน-ลาว ที่จ่อเตรียมเชื่อมต่อกับไทยตรงจังหวัดหนองคาย เป็นส่วนเสี้ยวของโครงการ “ข้อริเริ่มหนึ่งแบหนึ่งเส้นทาง (BRI)” โดยใช้เวลาก่อสร้างราว 5 ปี ส่วนของไทยยังไม่คืบหน้ามากนัก
รู้จักเส้นทางรถไฟจีน-ลาว
-รถไฟจีน–ลาวอยู่ภายใต้โครงการ “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI)” ของรัฐบาลจีน ซึ่งอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-มีระยะทางจากคุนหมิงถึงเวียงจันทน์รวม 922.5 กิโลเมตร และใช้เวลาในการขนส่ง 8 ชั่วโมง โดยสถานีสุดท้ายสิ้นสุดที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว ซึ่งห่างจากจังหวัดหนองคายเพียง 24 กิโลเมตร
เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะมีการขนส่งสินค้า 5 เที่ยวต่อวัน และขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 2 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะสามารถขนส่งสินค้าได้ปีละไม่ต่ำกว่า 2.2 ล้านตัน และขนส่งผู้โดยสารได้ปีละ 0.5 ล้านคน โดยในระยะถัดไป จะเพิ่มรอบการขนส่งสินค้าเป็น 14 เที่ยวต่อวัน และขนส่งผู้โดยสาร 4 เที่ยวต่อวัน
เส้นทางนี้จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ผ่านโครงการรถไฟจีน–ยุโรป และทำให้มีการเดินทางของผู้คนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผลกระทบต่อไทยย่อมเกิดขึ้น แต่ก็มีโอกาสสำหรับการค้าการลงทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น
สำนักเศรษฐกิจภูมิภาค ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประเมินว่าในระยะสั้น ไทยจะได้ประโยชน์จากเส้นทางรถไฟที่มาอยู่ใกล้ไทยใน 4 ด้าน คือ ด้านสินค้า ด้านการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว และด้านการขนส่ง
ด้านสินค้า:
ไทยมีโอกาสในการขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น รถไฟสายนี้จะใช้ขนส่งสินค้าเป็นหลัก สะท้อนจากจำนวนเที่ยวเดินรถไฟของสินค้าที่มากกว่าการขนส่งคน แม้คาดว่าการนำเข้าสินค้าจีนมาไทยจะมีมากขึ้น แต่สินค้าไทยก็มีแนวโน้มที่จะส่งออกได้มากขึ้น เพราะไทยมีตลาดในจีนตอนใต้อยู่แล้ว
(ก) อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ความงาม ผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมถึงผลิตภัณฑ์ฮาลาลต่าง ๆ ซึ่งเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดนยอดนิยม (Cross-border E -commerce หรือ CBEC) (รูปที่ 2) เนื่องจากจีนตอนใต้– มณฑลยูนนานและข้างเคียงมีประชากรมากกว่า 210 ล้านคนที่เป็นกำลังซื้อสำคัญ
จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู พบว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนระบบนิเวศการค้าที่เอื้อต่อกลุ่ม SMEs ที่มีช่องทางการขายแบบ CBEC ดังนี้ 1) ไม่ต้องขอใบอนุญาตนำเข้า 2) ไม่เสียภาษีศุลกากร 3) ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 4) การตรวจสินค้าที่เข้มงวดน้อยกว่า ทำให้ SMEs สามารถเข้าไปทดลองตลาดได้ง่ายและสะดวกกว่าการค้ารูปแบบเดิม ส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกิจลดลง
(ข) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตรและปศุสัตว์ (ผลไม้ ข้าว ยางพารา และไก่แช่แข็ง) ซึ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยส่งออกไปจีน (รูปที่ 2) ที่ส่วนใหญ่ส่งออกทางเรือมากกว่า 80% โดยการใช้เส้นทางนี้จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และยังสามารถกระจายความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ค่าขนส่งทางเรือที่แพง รวมถึงการจราจรที่แออัดจากเส้นทางขนส่งเดิม ส่งผลให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจนำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้
ความท้าทายมาจากสินค้าจีนที่มีแนวโน้มเข้าไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะสินค้า CBEC อาทิ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าแฟชั่น ที่การนำเข้ามาไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวกว่า 275%
ทั้งนี้ ยังพบว่ามีทุนจีนได้เข้ามาตั้งโกดังสินค้าขนาดใหญ่และบริษัทโลจิสติกส์หลายแห่งในลาว เพื่อรองรับสินค้าก่อนกระจายข้ามมาไทยต่อไปด้วย
ด้านการลงทุน:
ไทยมีโอกาสทั้ง FDI และ TDI โดยจะมี FDI จากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และ TDI จากนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนในลาว เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าและลดต้นทุนการขนส่ง
1. ด้าน FDI: นักลงทุนจีนให้ความสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้จีนย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากนักลงทุนจีนที่มีความสนใจมาซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งหากจีนมาลงทุนที่ไทยเพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นและมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ผ่านการกระจายการลงทุนสู่ภูมิภาค โดยธุรกิจที่จีนสนใจมาลงทุนในไทย มีดังนี้
-บริเวณเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเคมีภัณฑ์และพลาสติกรวมถึงผลิตยางล้อซึ่งเป็นซัพพลายเชนส่งออกไปจีน
-บริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEEC) อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ศูนย์รวบรวมและกระจายวัตถุดิบด้านอาหาร/สินค้า CBEC และอุตสาหกรรมประกอบรถจักรยานยนต์ EV
เนื่องด้วยไทย 1) มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเข้ามาอยู่อาศัยและทำธุรกิจ 2) มีแรงงานที่มีทักษะเป็นจำนวนมาก และ 3) มีความสัมพันธ์อันดีกับจีน ซึ่งมีสมาคมนักธุรกิจเชื้อสายจีนจำนวนมาก รวมทั้งมีการสถาปนาเมืองพี่เมืองน้องกับจีน (Sister City) กว่า 36 คู่ทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่กับมหานครฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน เพชรบูรณ์กับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน และขอนแก่นกับนครหนานหนิง มณฑลกวางสีจ้วง เป็นต้น
2. ด้าน TDI: นักธุรกิจไทยสามารถไปลงทุนในลาว ในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญได้แก่
1) ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าและโลจิสติกส์ ในรูปแบบการร่วมทุนกับผู้ประกอบการลาว เพื่ออาศัยสิทธิประโยชน์ในการเดินรถข้ามไปยังประเทศข้างเคียง
2) ธุรกิจบริการที่ไทยมีความถนัด อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และนวดสปา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยควรศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนให้ดีก่อนเข้าไปลงทุน
3) ธุรกิจเกษตร และปศุสัตว์ เพื่ออาศัยสิทธิประโยชน์ทางการค้าในการส่งออกไปจีน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกัน ตลอดจนการมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลจีนและลาว
4) อุตสาหกรรมที่เน้นใช้เทคโนโลยีและซัพพลายเชนในเขตการค้าเสรี หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีสิทธิประโยชน์และเอื้อต่อการลงทุน รวมทั้งการที่ลาวได้สิทธิ GSP ในการส่งออกไปยังประเทศที่ 3
ด้านการท่องเที่ยว:
เป็นโอกาสของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มจีนตะวันตก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง ที่จะเข้ามาเที่ยวไทยแบบกลุ่มทัวร์เป็นจำนวนมาก
คนจีนในมณฑลยูนนานที่เป็นต้นทางของรถไฟสายนี้ มีจำนวนประชากรกว่า 47 ล้านคน ซึ่งหาก 1% ของประชากรเหล่านี้ มาท่องเที่ยวในไทย คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี และยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังมีโอกาสรองรับนักธุรกิจจีนที่อยู่ในลาวกว่า 1 ล้านคนที่อาจข้ามมาเที่ยวในไทยโดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมโดยปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนนิยมท่องเที่ยวในเมืองหลักเช่นกรุงเทพฯกระบี่ภูเก็ตและเชียงใหม่เป็นต้นขณะที่การท่องเที่ยวไปเมืองรองยังคงมีข้อจำกัด
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ในระยะแรก การท่องเที่ยวอาจไม่ได้เป็นโอกาสหลักของไทย คือ การที่ทางการจีนยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศได้ โดยคาดว่าทางการจีนจะอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปี 2565-2566 หรือจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น
นับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะสามารถอาศัยช่วงเวลานี้ในการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวแบบ New Normal ที่จะหลั่งไหลเข้ามาตาม Pent-up Demand หลังจีนเปิดให้ประชาชนออกนอกประเทศได้อีกครั้ง
ด้านการขนส่ง
จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการได้ และเป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงด้านการขนส่ง
จากการศึกษาของธนาคารโลก ที่เปรียบเทียบค่าขนส่งระหว่าง 4 เส้นทาง พบว่า ประมาณการค่าขนส่งผ่านทางรถไฟจีน–ลาวที่เชื่อมต่อมายังไทยด้วยรถบรรทุกจะช่วยลดค่าขนส่งได้กว่า 1 ใน 3 ของค่าขนส่งทางถนนเดิม และหากรถไฟจีน–ลาวเชื่อมกับรถไฟไทยโดยสมบูรณ์ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่าครึ่งของการขนส่งทางถนนเดิม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จะได้ประโยชน์จากการขนส่งแบบ Multimodal Transportation (รถบรรทุกไทยจะขนสินค้าไปเชื่อมกับรถไฟที่ลาว)
ในระยะต่อไป หากรถไฟไทยสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟจีน–ลาวได้โดยสมบูรณ์ จะมีปริมาณการใช้เส้นทางนี้เพิ่มมากขึ้น และเส้นทางนี้อาจเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ อาทิ มาเลเซียและสิงคโปร์ แทนการขนส่งทางถนนและทางเรือบางส่วน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่การค้าโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประเด็นการขนส่งจึงอาจยังไม่ใช่โอกาสสำคัญหลักที่ไทยจะได้รับในระยะสั้น ซึ่งไทยสามารถใช้ช่วงเวลานี้ในการเตรียมเส้นทางให้พร้อมรองรับการขนส่งที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต
จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น งานศึกษานี้มีข้อสังเกตที่อาจช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์จากโอกาสครั้งนี้เพิ่มเติม ดังนี้
1. การตั้งศูนย์กระจายสินค้าเบ็ดเสร็จที่ใกล้ชายแดน อาจเป็นในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีหรือขอนแก่น เพื่อรองรับสินค้าที่จะเข้ามาและส่งออกไปยังจีน ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้น และไทยยังไม่มีศูนย์กระจายสินค้าแบบเบ็ดเสร็จที่ครบวงจรมาก่อน
2. การมีโครงข่ายการขนส่งสินค้าทั้งทางรถและทางรางที่มีความพร้อม อาทิ สถานีรถไฟนาทา จังหวัดหนองคาย เพื่อเป็นย่านเปลี่ยนถ่ายสินค้าในฝั่งไทย สะพานข้ามแม่น้ำโขงของหนองคายทั้งสะพานเดิมและใหม่ รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับปริมาณการขนส่ง และลดต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังเป็นการเตรียมความพร้อมหากเส้นทางการขนส่งจากจีนผ่านแหลมฉบังไปยังประเทศอื่นมีความนิยมมากขึ้นเมื่อการค้าโลกกลับสู่ภาวะปกติ
3. การสนับสนุนสิทธิประโยชน์และโครงสร้างพื้นฐานในการลงทุน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษของภูมิภาค ให้ทัดเทียมกับ EEC รวมถึงสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดและกระจายการลงทุนมายังภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับทางรางทั้งวัตถุดิบและสินค้า
4. การเตรียมความพร้อมด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ 1) การพัฒนาท่องเที่ยวเมืองรองเชื่อมโยงเส้นทางจีน–ลาว–ไทย อาทิ เส้นทางท่องเที่ยวคุนหมิง–เวียงจันทน์–อุดรธานี–ภูเก็ต รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวนอกฤดูกาล (Off-season) ในเมืองรอง และ 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆโดยเฉพาะระบบขนส่งภายในและระหว่างจังหวัดในแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของจีน อาจทำให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจไทยมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด ดังนั้น ไทยควรเร่งเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบในทุก ๆ มิติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
ทางรถไฟจีน-ลาว เสร็จทันเวลา ใช้เวลาสร้าง 5 ปี เตรียมเปิดในสิ้นปีนี้